วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

DDNS ต่างกับ DNS อย่างไร?

DNS คืออะไร?
DNS (Domain Name Server or Domain Name System) คืออะไร?
คือ ระบบการเปลี่ยนตัวเลข IP Address เป็นชื่อ Domain การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จะใช้ตัวเลข IP Address สำหรับอ้างอิง อาทิ 202.57.128.130 ซึ่งไม่สะดวกในการจำ  ดังนั้นระบบ DNS จึงทำหน้าที่แปลงตัวเลข IP Address เป็นชื่อ Domain ที่กำหนดไว้ เช่น thaiddns.com  หากเราเรียก http://www.thaiddns.com (Domain Name) ระบบ DNS จะทำการเปลี่ยนจาก www.thaiddns.com เป็นหมายเลข IP 202.57.128.130 และเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ที่ระบุไว้
DDNS คืออะไร?
ระบบ Update IP Address เข้ากับชื่อ Domain หรือ SubDomain
โดยปกติเวลาที่ต่ออินเตอร์เนตเครื่องผู้ใช้งานจะได้ตัวเลข IP Address สำหรับอ้างอิงในโลกอินเตอร์เนต ซึ่งตัวเลข IP Address นี้จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากต้องการได้ IP Address ที่แน่นอน ต้องทำการ Fix IP ซึ่งเสียค่าบริการประมาณ 2,000 - 4,000 บาท/เดือน ผู้ใช้ต้องจำเลข IP ดังกล่าวเพื่ออ้างอิงสำหรับใช้งานะบบ DDNS (Dynamic Domain Name Service หรือ Dynamic Domain Name System) จะเข้ามาช่วยส่วนนี้ กล่าวคือจับคู่  IP Address ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้น ให้เข้ากับชื่อ Domain หรือ SubDomain
DDNS ต่างกับ DNS อย่างไร?
DDNS มีข้อแตกต่างกับ DNS ตรงที่ IP Address ที่ได้จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หรือทุกครั้งที่ Connect Internet ใหม่ หรือเนตหลุดนั่นเอง

มาตรฐานการสื่อสารคอมพิวเตอร์ระบบเปิด

      องค์การระหว่างประเทศเพื่อการทำให้เป็นมาตรฐาน (International Organization for Standardization - ISO) ได้เล็งเห็นปัญหาความเข้ากันไม่ได้ของระบบจากบริษัทผู้ผลิตต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นความไม่สะดวกอย่างมากต่อลูกค้าผู้ใช้งาน จึงมีการพิจารณาร่างกรอบของมาตรฐาน ให้เป็นระบบเปิดเพื่อให้ระบบจากค่ายต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้ เรียกว่า มาตรฐานการสื่อสารคอมพิวเตอร์ระบบเปิด (Open System Interconnection - OSI) ขึ้น ซึ่งใน OSI เองนี้จะยังไม่มีมาตรฐานใดๆ บรรจุอยู่ เป็นแต่เพียงกรอบของมาตรฐาน (Framework of Standards) ที่ระบุว่าควรแบ่งระบบเป็น 7 ชั้นการทำงาน และในแต่ละชั้นนั้นควรมีหน้าที่อะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อระบบจากค่ายต่างๆ ถูกออกแบบขึ้นมาโดยยึดถือแนวทางของ OSI นี้ ระบบจากต่างบริษัท หรือต่างค่ายกันนั้นก็จะสามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งทำให้กลุ่มลูกค้าผู้ใช้งานมีอิสระมากขึ้นในการพิจารณา เลือกใช้งานระบบต่างๆ เหล่านั้น
    สำหรับในบทแรกนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดและแนวความคิดเกี่ยวกับ OSI ก่อนเพราะอาจมองได้ว่า OSI คือภาพรวมทั้งหมดของการศึกษาทางด้านการสื่อสารข้อมูลและวงจรข่ายคอมพิวเตอร์ เพราะในแต่ละชั้นของ OSI นั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้ออกแบบ, ช่างเทคนิค หรือผู้ใช้วงจรข่ายคอมพิวเตอร์ แต่ละกลุ่มตามหน้าที่ต่างๆ กันไป หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ OSI ดีแล้ว จึงไปพิจารณารายละเอียดแยกตามแต่ละชั้นการทำงานภายหลัง ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับทางเทคนิคก็คงจะเป็นชั้นการทำงานในระดับล่าง
    มาตรฐานการสื่อสารคอมพิวเตอร์ระบบเปิดแบ่งเป็น 7 ชั้นการทำงานนับจากชั้นบนสุดที่จะติดต่อโดยตรงกับผู้ใช้คือ application layer, presentation layer, session layer, transport layer, network layer, datalink layer และ physical layer เป็นชั้นล่างสุด ซึ่งแต่ละชั้นการทำงานก็จะแนะนำโปรโตคอล (protocol) คือพิธีการหรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกัน ก่อนจะอธิบายถึงรายละเอียดต่างๆ ของ OSI ต่อไป ขอให้ทำความเข้าใจความหมายของคำต่างๆที่จะใช้ดังนี้คือ
    Entity - หมายถึงอะไรก็ตามที่สามารถรับ - ส่งหรือจัดการข่าวสารได้ อาจเป็นโปรแกรมประยุกต์ ชุดรับส่งแฟ้มหรือระบบจัดการฐานข้อมูล หรืออาจเป็นเทอร์มินัลก็ได้ คู่ entities ที่อยู่บนชั้นเดียวกันของ OSI model แต่เป็นคนละเครื่องนั้น จะเรียกเป็น peer-process
    Service - เป็นขอบเขตของหน้าที่บนแต่ละชั้นของ OSI ซึ่งชั้นล่างจะต้องจัดเตรียมไว้ให้ชั้นบน ซึ่งจุดที่ทั้งสองชั้นใช้ติดต่อกันนี้เรียกว่า service access points (SAPs)
    Service Primitive - เป็นการติดต่อกันระหว่างชั้นที่ให้บริการกับชั้นที่รับบริการ (ชั้น N กับ N+1 ตามรูป) เมื่อมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันระหว่างผู้ใช้ 2 คน ที่ขณะใดขณะหนึ่งจะมี service primitive 4 ชนิด เกิดขึ้นคือ
    1. Request  โดยชั้นที่ใช้บริการ
    2.Indicate  โดยชั้นที่ให้บริการ
    3. Response  โดยชั้นที่ใช้บริการ
    4.Confirm โดยชั้นที่ให้บริการ
    ขอบเขตของหน้าที่สำหรับแต่ละชั้นใน OSI นี้ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ สำหรับ 3 ชั้นล่าง คือ physical, data link และ network นั้น จัดเป็นกลุ่มที่ขึ้นกับเทคโนโลยี่คือจะเกี่ยวข้องกับการส่งผ่านข้อมูล การจัดข้อมูลเข้าชุดหรือหาเส้นทางสำหรับข่าวสารในเครือข่าย เป็นต้น โปรโตคอลในชั้นเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในการส่งผ่านข้อมูล เช่น สายนำสัญญาณต่างๆ, โทโปโลยี(topologies) คือรูปแบบการจัดวงจรข่ายคอมพิวเตอร์ หรือเทคนิคที่จะใช้ช่องข่าวสารเป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือในการทำงานที่ระดับ 3 ชั้นล่างนี้จะเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่เป็นกายภาพ เป็นส่วนของ data communication ซึ่งก็คือ เกี่ยวข้องโดยตรงกับฝ่ายเทคนิคนั่นเอง
    สำหรับในชั้นที่ 4 คือ transport นั้น เป็นตัวกลางแยกระหว่าง 3 ชั้นล่างและ 3 ชั้นบน คือ ถ้าจะพิจารณาแยกประเด็นให้ชัดเจน อาจกล่าวได้ว่าสำหรับ 3 ชั้นล่างของ OSI นั้น จะเป็นการสื่อสารข้อมูล ส่วน 3 ชั้นบนเป็นการประมวลผลข้อมูล ส่วนในชั้นที่ 4 (transport) นี้จะจัดการเกี่ยวกับปัญหาความผิดพลาด คือ ตรวจจับและแก้ไขความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น จัดลำดับของข้อมูล, ทำการระบุตำแหน่งสถานีปลายทาง และ การมัลติเพล็กช์ หน้าที่พื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของ transport นี้คือ แบ่งซอยข่าวสารชุดยาวๆ จากชั้นบนคือชั้นที่ 5 (session layer) ให้เป็นหน่วยที่เล็กลงเรียกว่า packets
    ในชั้นที่ 5 คือ session จะเกี่ยวกับหน้าที่ทางตรรกที่จำเป็นในการโต้ตอบแลกเปลี่ยนข่าวสาร หน้าที่พื้นฐานสำหรับชั้นนี้ คือ นำการบริการจากชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นเพียงการย้ายข้อมูลดิบระหว่างเครื่องมาเพิ่มการบริการเพื่อผู้ใช้ขึ้น และทำให้ entity ของชั้นที่ 6 สามารถสร้าง, ใช้และยกเลิกการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องได้ การเชื่อมต่อในระดับชั้นที่ 5 นี้ เรียกว่า session กล่าวโดยสรุปคือ ในระดับ session นี้ อาจมองได้ว่าเป็นจุดติดต่อระหว่างผู้ใช้ซึ่งในที่นี้หมายถึงผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ กับข่ายวงจรนั่นเอง
    ต่อมาในชั้นที่ 6 คือ presentation ตัวอย่างของงานบริการในชั้นนี้ เช่น การเข้ารหัสลับ (encryption) การบีบอัดข้อมูล การส่งถ่ายแฟ้มข้อมูล เป็นต้น และสำหรับในชั้นที่ 7 คือ application นั้นก็เป็นชั้นบนสุดของ OSI model เป็นการใช้งานที่ผู้ใช้จะคุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น World Wide Web หรือ การใช้ e-mail เป็นต้น

ตารางมาตรฐานการสื่อสารคอมพิวเตอร์ระบบเปิด (OSI)

LAYER
FUNCTIONS
APPLICATION

 

A)
Common Application Service Elements (CASE)

Login, password check, peer-association setups, downline loading, agreement on semantics of information to be exchanged, commitment, concurrency and recovery
B)
Specific Application-Service Elements (SASE)

file transfer, access and management, basic-class and forms-class virtual terminals, message handling , document transfer, job transfer and manipulation, remote job entry, data base access and transfer , queries, insertion and deletion, videotex,teletex and telefax, directory service, virtual terminal service, system management, industry protocols, banking, purchasing, invoicing, credit-checking, word processing, graphics procedures, creation of chart and display color control
PRESENTATION
establish concrete transfer syntax (bit encodings), data types character sets, text string, data display format , file organization, data compaction, encryption, encoding and decoding, handle pass through of service from session, to application layer
SESSION
Maps address to names (users retain name ), Establishes connections and terminations, Transfer data, Controls dialogue (who speak, when, how long, Half-or-full duplex) ,Synchronizes end user task ,Invoke graceful end abrupt closure
TRANSPORT
Address end user machines without concern for route of message or address machines , enroute between end user machine, Multiplex end user address onto network, End to end error detection and recovery, Monitor quality of service ,Possibly disassemble and reassemble session messages, Handle flow control
NETWORK
set up routes for packet to travel (virtual circuit), Provide datagram service, Address network equipment on packets routes, Divides transport messages into packets, And reassemble them at destination, Control network congestion, Recognizes message priorities and send messages in proper order, Handle internetworking (both connection-oriented and Connection less)
DATALINK
add flags to indicate beginning and end of messages, add error - checking algorithms, make sure that data are not mistaken for flags, provide access methods for local area networks, transfer data reliably across a single link
PHYSICAL
handles voltages and electrical pulses, specifies cables, connectors, and media interface components, provide collision detection for csma/cd access method

IP Address คือ ??

IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด?ตัวอย่าง IP Address 192.168.0.1? เป็นต้น
การสื่อสารและรับส่งข้อมูลในระบบ Internet สิ่งสำคัญคือที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความถูกต้องแม่นยำ จึ่ง ได้มีการกำหนดหมายเลขประจำเครื่องที่เราเรียกว่า IP Address และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำกัน จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง InterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครือง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
1.Network Address?
2.Computer Address

การแบ่งขนาดของเครือข่าย
เราสามารถแบ่งขนาดของการแจกจ่าย Network Address ได้ 3 ขนาดคือ
1.Class A nnn.ccc.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 1-126) เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากที่สุดถึง 16 ล้านหมายเลข
2.Class B nnn.nnn.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 128-191) เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากเป็นอันดับสอง คือ 65,000 หมายเลข
3.Class c nnn.nnn.nnn.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 192-233) เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้น้อยที่สุด คือ 256 หมายเลข
* nnn หมายถึง Network Address ccc หมายถึง Computer Address
หมายเลขต้องห้าม สำหรับ IP Address
เนื่องจากเครือข่ายก็อาจจำเป็นต้องใช้ IP Address ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการจำกัดบางหมายเลขเพื่อใช้เป็นการภายใน ได้แก่
-Class A ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx
-Class B ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx
-Class C ตั้งแต่ 192.168.0.xxx ถึง 192.168.255.xxx
สำหรับภายในองค์กร ก็มีหมายเลขต้องห้ามเช่นกัน
1.127.xxx.xxx.xxx หมายเลขนี้ใช้สื่อสารกับตัวเอง?
2.0.0.0.0?

Palm หรือ PocketPC

Palm หรือ PocketPC
Palm หรือ PocketPC นั้นต่างก็เป็น Organizer ยุคใหม่มีอีกชื่อหนึ่งว่า PDA (Personal Digital Assistant) ซึ่งถูกตั้งชื่อโดย Apple ตั้งแต่ปี 1990 แต่สมัยนั้นยังไม่สำเร็จ จึงมีการพัฒนาเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีความสามารถสูงมาก เพราะสามารถพัฒนาโปรแกรม สั่งให้ palm ทำงานได้หลาย ๆ อย่าง ทำให้ความสามารถหลักด้าน organizer กลายเป็นส่วนประกอบไปเลย เพราะมีผู้พัฒนาโปรแกรมให้กับ palm มากทีเดียว คนไทยก็ทำครับ เพื่อให้ palm เข้าใจภาษาไทย และใช้ปากกาเขียนภาษาไทยให้ palm อ่านรู้เรื่องได้ทันที Palm สามารถทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน โดยผู้ใช้ palm สามารถเขียน mail ใน palm เมื่อต้องการส่งก็ upload เข้าคอมพิวเตอร์ที่ online กับ internet แล้ว คอมพิวเตอร์ก็จะทำหน้าที่ส่ง mail ให้อัตโนมัติ รวมถึงการรับ mail ใหม่เข้าไปใน palm ทำให้สามารถอ่าน mail จากที่ไหนก็ได้ แต่เป็นการทำงานแบบ offline ไม่เหมือนมือถือที่อ่าน mail ได้แบบ online แต่ palm ไม่ใช่มือถือครับ (palm.com)
 
PocketPC คืออะไร
ผลจากปี 1998 เมื่อ Microsoft แนะนำ WindowCE ซึ่งทำงานกับ Palm-sized PC ซึ่งพยายามตี palm ให้แตก ด้วยการสร้างระบบปฏิบัติการ ที่เป็นมาตรฐานใหม่ บริษัทต่าง ๆ ที่สนใจจึงเริ่มผลิตสินค้า ที่ใช้ Windows CE โดยมีชื่อเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า PocketPC คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่กำหนดมาตรฐานโดย Microsoft เจ้าเก่า(งานนี้ palm อาจต้องหนาว) ทำให้ PocketPC ที่ผลิดโดยบริษัทใดก็แล้วแต่ เช่น Compaq, Casio, HP เป็นต้น สามารถเปิดเว็บ พิมพ์ Word หรือ Excel ฟัง MP3 หรือแม้แต่ดูหนัง ก็ยังได้

บริการต่าง ๆ ของอินเทอร์เน็ต

1. ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (Electronic Mail หรือ E-Mail) เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เนตที่คนนิยมใช้กันมากคือส่งจดหมายโดยทางคอมพิวเตอร์ถึงผู้ที่มีบัญชีอินเทอร์เนต ด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายก็จะไปถึงอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายโปรแกรมที่ใช้ ในการรับ-ส่งจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้นมี หลายโปรแกรมด้วยกันแล้วแต่จะเลือก ใช้ตาม ความ ชอบหรือความถนัด โปรแกรมที่พูดถึงก็เช่น Eudora, Pine, Netscape Mail, Micorsoft Explorer และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
2. World Wide Web (WWW)เป็นการเข้าสู่ระบบข้อมูลอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่ฮิตสุดบนอินเทอร์เนต ข้อมูลนี้จะอยู่ในรูปของ Interactive Multimedia คือ มีทั้งรูปภาพ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และวีดีโอ อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังใช้ระบบที่เรียกว่า hypertext กล่าวคือ จะมีคำสำคัญหรือรูปภาพในข้อมูลนั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่รายละเอียดที่ลึกและกว้างขวางยิ่งขึ้น คำสำคัญดังกล่าวจะเป็นคำที่เป็นตัวหนา หรือขีดเส้นใต้ เพียงแต่ท่านเลือกกดที่คำที่เป็นตัวหนาหรือขีดเส้นใต้ นั้น ๆ ท่านก็สามารถเข้าสู่ข้อมูลเพิ่มเติมได้ (ข้อมูลเหล่านี้จะมีผู้สร้างขึ้นมาและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก) Uniform Resource Locator (URL) คือที่อยู่ของข้อมูลบน WWW ซึ่งถ้าเราจะหาข้อมูลเราต้องทราบที่อยู่ของ homepage หรือ URL ก่อน ตัวอย่างที่อยู่ของ homepage ของกลุ่มเซนต์จอห์นคือ http://www.stjohn.ac.th ส่วนโปรแกรมที่ช่วยให้เข้าสู่ข้อมูลที่อยู่บน WWW ได้ คือ Netscape และ Microsoft Explorer เป็นต้น
3. FTP (File Transfer Protocol) คือ บริการที่ใช้ในการโอนย้าย file หรือข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกคอมพิวเตอร์หนึ่ง ในเครือข่ายอินเทอร์เนตถ้าเครื่องนั้นๆต่อเข้ากับระบบที่เป็นอินเทอร์เนตก็สามารถโอนย้ายข้อมูลกันได้เครื่อง คอมพิวเตอร์บางที่นั้นจะทำหน้าที่ เป็นศูนย์รวมของข้อมูลต่าง ๆ เช่น รูปภาพ , ข้อความ , บทความ , คู่มือ และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เป็น Freeware หรือ Shareware เและเปิดให้เข้าไปโอนย้านมาได้ฟรี โปรแกรมที่จะช่วยในการโอนย้ายข้อมูล ก็เช่น Netscape, Telnet WSFTP เป็นต้น
4.Telnet  เป็นบริการที่ช่วยให้เราสามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นเสมือนหนึ่งไปนั่งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของที่นั่น โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ได้คือ โปรแกรม NCSA Telnet เมื่อเปิดโปรแกรมแล้วให้พิมพ์คำสั่ง Telnet ดังในรูปภาพข้างล่างเมื่อท่านใช้คำสั่ง Telnet แล้วให้พิมพ์ที่อยู๋ของแหล่งข้อมูลนั้น ท่านก็จะสามารถเข้าสู่ระบบข้อมูลนั้น ๆ ได้เสมือนท่านไปนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเครื่อง ๆ นั้นเลยทีเดียว ระบบ Telnet
5. Usenet / News groups เป็นบริการที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ข่าวสารข้อมูลของกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนปัญหาข้อสงสัยข่าวสารต่าง ๆ กลุ่มเหล่านี้จะมีสารพัดกลุ่มตามความสนใจ โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ คือ โปรแกรม Netscape News ที่อยู่ใน โปรแกรม Netscape Navigator Gold 3.0 เมือเปิดโปรแกรมดังกล่าว จากนั้นรายชื่อของกลุ่มสนทนาจะปรากฎขึ้นให้ท่านเลือกอ่านตามใจชอบ
หากจะใช้ Internet ควรต้องมีอะไรบ้าง ?
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมอยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เนต การต่อเครื่องเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายอินเทอร์เนตนั้น ลักษณะการต่อจะขึ้นอยู่กับความเร็วของสายที่ต่อเชื่อม
2. หากท่านต้องการใช้บริการอินเทอร์เนตจากที่บ้าน โดยการต่อคอมพิวเตอร์ที่บ้านให้เข้าสู่ ระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต ท่านต้องมี Modem (โมเด็ม) หรือตัวแปลงสัญญาณ โมเด็มจะเป็นตัวช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านรับข้อมูลจากอินเทอร์เนต ได้ความเร็วของ Modem ควรจะเป็นอย่างต่ำ 14.1 kbps หรือมากกว่านั้น (kilobyte per second = อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล)
3. หากท่านใช้บริการอินเทอร์เนตจากที่ทำงาน มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน สำหรับหน่วยงานใหญ่ ๆ มักจะมีการต่อเชื่อมเข้ากับระบบอินเทอร์เนตด้วยการใช้สายเช่า ซึ่งมีความเร็วในการส่งสัญญาณสูงแทนโมเด็ม และจะต้องมีโปรแกรมที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ระบบอินเทอร์เนต ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเลือกใช้บริการอะไร ตัวอย่างเช่น หารกจะใช้ E-Mail (Electronic Mail) หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โปแกรมที่จะใช้ได้ เช่น Pine , Eudora , Netscape Mail, Microsoft Explorer แต่ถ้าจะใช้ WWW ก็ต้องใช้โปรแกรม Netscape เป็นต้น
4. Internet Account ท่านต้องเปิดบัญชีอินเทอร์เนต เหมือนกับต้องจดทะเบียนมีชื่อและที่อยู่บนอินเทอร์เนต เพื่อที่ว่าเวลาติดต่อสื่อสารกับใครบนอินเทอร์เนต จะได้มีข้อมูลส่งกลับมาหาท่านได้ถูกที่